วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 นนทบุรี ต่อข่าว เสี่ยเป้ บางกรวย ร้องสิระฯ คดีถูกรุมทำร้ายงานวันเกิดนายอำเภอ แฉพบตำรวจชื่อดังร่วมทีมก่อเหตุ หวั่นอิทธิพลมีภาพถ่ายร่วมนักการเมืองดัง





จากกรณีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นายโชติอนันต์ หรือ “เสี่ยเป้ บางกรวย” อายุ 33 ปี เจ้าของอู่ซ่อมรถเบนซ์ชื่อดังในจังหวัดนนทบุรี พร้อมนายจิราภัทร อายุ 31 ปี เพื่อนสนิท เข้าแจ้งความที่ สภ.บางศรีเมือง และร้องสื่อมวลชนขอความเป็นธรรม หลังถูกนายวุฒิ ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) เขตบางกรวย พร้อมลูกน้องกว่า 10 คน รุมทำร้ายร่างกายงานวันเกิดนายอำเภอเมืองนนทบุรี ภายในร้านอาหารชื่อดังในอำเภอเมืองนนทบุรี เมื่อคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 23.30 น.





ล่าสุด วันที่ 9 ธ.ค.67 เวลา 10.00 น. ที่ สำนักงานสิระ เจนจาคะ (บ้านเรือนไทย) นายโชติอนันต์ หรือ “เสี่ยเป้ บางกรวย” ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากนายสิระ เจนจาคะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคพลังประชารัฐ หลังพบว่าหนึ่งในผู้ก่อเหตุที่รุมทำร้ายร่างกาย คือ ด.ต.สิทธิชัย เพ็ชรอินทร์ ผบ.หมู่-รอง สว.งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ. หรือที่รู้จักในฉายา “แจ็ค 191” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีภาพถ่ายปรากฏร่วมกับนักการเมืองดังหลายคน สร้างความกังวลต่อความปลอดภัยและความเป็นธรรมในคดี





นายโชติอนันต์ หรือเสี่ยเป้ บางกรวย เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 66 แต่พึ่งทราบภายหลังว่าหนึ่งในผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่ได้รับโทษตามที่ควร ตนจึงเข้ามาร้องเรียนท่าสิระ เพื่อให้ตรวจสอบวินัยตำรวจเพิ่มเติม โดยมีความกังวลว่าอาจมีการปกปิดข้อมูลในสำนวนคดี เนื่องจากจำเลยทั้งหมด 6 คน มีเพียง 2 คนที่รับสารภาพและถูกลงโทษรอลงอาญา ส่วนอีก 4 คน ยังไม่รับสารภาพ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ด.ต.สิทธิชัย












ตนพึ่งมาทราบทีหลังว่าหนึ่งในคนที่เข้ามารุมทำร้ายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีฉายาว่า แจ็ค 191 ตนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาอยู่กับนักการเมืองหลายคน กลัวว่าอิทธิพลของเขาจะทำให้คดีไม่คืบหน้า ซึ่งทางฝ่ายเขาเคยโทรมาขอร้องว่าไม่ให้ดำเนินคดี แต่ตนไม่ยอม เพราะคนทำผิดต้องได้รับโทษ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐต้องรับโทษหนักกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังพบว่าในสำนวนของการสอบสวนสภ.บางศรีเมือง ด.ต.สิทธิชัย ไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพนักงานสอบสวน โดยลงว่าไม่มีอาชีพ ซึ่งทำให้ตนคิดว่าจะเป็นการช่วยเหลือตำรวจด้วยกันหรือไม่ จึงขอให้ตำรวจสภ.บางศรีเมือง จี้แจงและตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย





นายสิระ กล่าวว่า วันนี้ผู้เสียหายได้เดินทางเข้าร้องเรียน เนื่องจากพบว่ามีจำเลยหนึ่งคนในคดีเป็นตำรวจ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะตำรวจสามารถพกอาวุธในที่สาธารณะและอาจใช้อิทธิพลในพื้นที่ได้ ทางตนมาตรวจสอบแล้วพบว่าในคำฟ้องไม่มีการระบุอาชีพของจำเลยรายนี้ว่าเป็นตำรวจ และอายุก็ไม่ตรงกัน อาจมีการปกปิดข้อมูลเพื่อลดการถูกตรวจสอบวินัย เพราะเป็นตำรวจเหมือนกัน ตนอยากเรียกร้องให้ ผบ.ตร. ช่วยดูแลเรื่องนี้ เพราะตำรวจไม่ดีเพียงคนเดียวก็ทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรเสียหายได้ หลังจากนี้จะพาผู้เสียหายไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้มีการตรวจสอบวินัยตำรวจคนดังกล่าวโดยละเอียด พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด





ด้านนายกิตติธัช ชูโชติ ทนายความของนายสิระ กล่าวเสริมว่า คดีนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนอาญาซึ่งอยู่ในกระบวนการของพนักงานอัยการ ที่ต้องตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนยื่นฟ้องจำเลย และส่วนวินัยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง โดยตนจะพาผู้เสียหายไปร้องเรียนและติดตามการดำเนินการเรื่องวินัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้อีกครั้ง เพราะต้องแยกการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและวินัย เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมอย่างครบถ้วน 


*****เบลอหน้าคนไม่เกี่ยวข้องในภาพที่ถ่ายกับผู้ต้องหา****   


****มีแฟ้มภาพ*****

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น