วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดเต็ม!! ลงพื้นที่เร่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส สร้างชีวิตแก่ชาวหนองคายอย่างยั่งยืน.. *มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพผู้ยากไร้ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชนฟรี *มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และ *สนับสนุนค่าพาหนะพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร ในโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 172

.



ระหว่างวันที่ 16 – 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยเยาวชน ประชาชนผู้ยากไร้ และผู้พิการ มอบหมายคณะกรรมการมูลนิธิฯ ลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย เร่งลดความเหลื่อมล้ำ มอบโอกาส สร้างชีวิต แก่ชาวหนองคายอย่างยั่งยืน รวมมูลค่าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งดำเนินการกว่าเจ็ดแสนบาท โดยเมื่อวันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567 นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ช่วยกรรมการ และ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์  นำทีมลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย (จังหวัดที่ 16 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 21 ครัวเรือน พร้อมมอบจักรยาน  จำนวน 50 คัน แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 5 โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวหนองคายในครั้งนี้ทั้งสิ้น จำนวน 560,120 บาท (ห้าแสนหกหมื่นหนึ่งร้อยยี่สิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ)  และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่  โดยมี นายสมภพ สมิตะสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย  นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชนเป็นประธานร่วมในพิธี   มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งร่วมมอบและสร้างสีสันภายในงาน ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย

.







และวันนี้ (วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2567) นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่ มอบค่าพาหนะ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ผ้าห่ม ปลากระป๋อง เส้นหมี่ขาว ทิชชูเปียก รองเท้าฟองน้ำ และ ขนม บรรจุถุงผ้าดิบ ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 172 รวมจำนวน 160 ชุด พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่เจ้าหน้าที่มูลนิธิขาเทียมอีก 50 ชุด คิดเป็นงบประมาณมูลค่าทั้งสิ้น 162,132.50 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นสองพันหนึ่งร้อยสามสิบสองบาทห้าสิบสตางค์) โดยมี นายสมภพ สมิตะสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต เลขาธิการมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กรรมการมูลนิธิขาเทียมฯ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ร่วมในพิธี ณ หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย

.






รวมงบประมาณการดำเนินภารกิจ 3 โครงการ เพื่อชาวหนองคายและผู้เข้าร่วมโครงการในรอบนี้ทั้งสิ้น 722,252.50 บาท (เจ็ดแสนสองหมื่นสองพันสองร้อยห้าสิบสองบาทห้าสิบสตางค์)

.

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

.

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และเฟซบุ๊ก แฟนเพจ  www.facebook.com/atpohtecktung

.

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

 นนทบุรี พระพยอมติง รองเจ้าอาวาสวัดดังแชทไลน์สาว ชาวพุทธอย่านิ่งเฉยดูดายให้คนชั่วลอยนวล



     จากกรณีที่อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.ชุมพร ได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับสำนักพุทธ และ รมช. สาธารณสุข ให้ดำเนินการทางวินัยกับพระช้้นผู้ใหญ่ ระดับรองเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง อ.หลังสวน จ.ชุมพร และหญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาล ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.นครปฐม หลังมีหลักฐานเป็นแชทการสนทนาในไลน์ทำนองเชิงชู้สาว มีการส่งภาพลามกอนาจาร และเชื้อเชิญชวนให้มามีเพศสัมพันธ์กัน ภายหลังทุกอย่างถูกสอบสวนไปที่เดียวคือที่จ.ชุมพร โดยเจ้าคณะที่จ.ชุมพร เป็นคนตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งมีความรู้จักและสนิทชิดเชื้อเป็นกันเป็นอย่างดีกับพระรูปดังกล่าว สุดท้ายสำนักพุทธได้มีการส่งหนังสือตอบกลับมายังอดีตส.ส.ชุมพร ว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏยังไม่อาจบ่งชี้ให้เชื่อได้ว่าพระชั้นผู้ใหญ่ ระดับรองเจ้าอาวาส มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง และตัวของอดีตส.ส.ชุมพรเอง อาจมีอคติส่วนตัว




     ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 19 ธ.ค. 67 ทีมข่าวได้เดินทางไปที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามกรณีดังกล่าวกับพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ว่าพฤติกรรมพระรูปดังกล่าวมีความเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงการที่สำนักพุทธตั้งกรรมการสอบสวน ซึ่งมีความรู้จักและสนิทชิดเชื้อเป็นกันเป็นอย่างดี




     พระพยอม กล่าวว่า ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด วันนี้อาจจะปิดมิดเพราะได้พวกพ้องช่วยกันปกป้องคุ้มครอง แต่สักวันหนึ่งความจริงที่เคยทำจนชิน ก็จะคุ้มครองไม่อยู่และเรื่องจริงก็จะค่อยๆเผยออกมา เพียงแต่ว่าให้ประชาชนทำหน้าที่ชาวพุทธ ทะนุบำรุงและต้องปกป้องคุ้มครองไม่ให้ศาสนามัวหมอง ตามธรรมวินัยที่บอกว่า ธรรมวินัยนี้ลุ่มลึกนัก แต่มีสวะและขยะลอยมากลางทะเล คลื่นในทะเลนี้ก็จะซัดขยะเหล่านั้นขึ้นฝั่ง เปรียบกับพระ หากไม่ได้ทำตนให้เป็นขยะใครก็ซัดไม่ขึ้น แต่ถ้าทำตัวเป็นขยะ ไม่เอื้อเฟื้อธรรมวินัย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ดั่งคำที่เขาบอกว่าสตรี สตางค์ ระวังไม่ดีพรหมจรรย์ก็ป่นปี้ แต่ถ้าหวังดีพรหมจรรย์ก็จะสง่างาม น่านับถือ กราบไหว้บูชา ดังนั้นจึงขอให้ช่วยกันทะนุบำรุงศาสนา ปกป้องคุ้มครอง ถ้าจะมีพระที่ไม่ดีก็ให้ช่วยกันขจัดออกไป อย่านิ่งเฉยดูดายหรือช่วยปกป้องกัน คนชั่วก็จะลอยนวล





วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567

คณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ( สุดทน ) รวมตัวเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถอดถอนและตรวจสอบพระสังฆาธิการที่มีอาจารที่ไม่เหมาะสม ณ รัฐสภาและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ

 คณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ( สุดทน ) รวมตัวเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถอดถอนและตรวจสอบพระสังฆาธิการที่มีอาจารที่ไม่เหมาะสม ณ รัฐสภาและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ




เมื่อเวลา 09:30 น.วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2567 นายนิภัทร์ บุณบรรเทิง พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ได้รวมตัวและเดินทางไปยังรัฐสภา เลขที่ 1111 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เพื่อยื่นหนังสือต่อนางเอมอร ศรีกงพาน สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรมศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา พร้อมกันนี้ยังได้เข้ายื่นหนังสือถึง นายวีระพล จิตสัมฤทธิ์ สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมคนที่ 1 สภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ขอให้พิจารณาแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสีและขอให้ดำเนินการถอดถอนพระสังฆาธิการที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับสมณวิสัย






       สืบเนื่องจากพระครูสุทธิญาโนภาส อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสีได้ถึงแก่มรณภาพลงโดยมีการแต่งตั้งพระครูโอภาสวัชรานุกูล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสี แต่ที่ผ่านมารักษาการเจ้าอาวาสมีพฤติกรรมบางประการที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องตามพระธรรมวินัยจนเกิดวิกฤตศรัทธาจากชาวบ้านส่วนหนึ่งซึ่งคณะศิษย์ได้รวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 1,000 คนยื่นต่อสำนักงานเจ้าคณะกรุงเทพมหานครเพื่อแจ้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้รักษาการเจ้าอาวาสและต่อมาได้มีการเผยแพร่ป้ายประชาสัมพันธ์พิธีมอบตราตั้งให้พระครูโอภาสวัชรานุกูลดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสีโดยที่ไม่ได้มีการประสานชี้แจงผลการพิจารณาตามหนังสือดังกล่าว และไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากคฤหัสน์ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงวัดอย่างโปร่งใส ต่อมาสื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่าคณะกรรมการมหาเถระสมาคมเจ้าคณะกรุงเทพฯได้เลื่อนการแต่งตั้งพระครูโอภาสวัชรานุกูล เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสี ออกไปก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ความจริงในเรื่องที่ชาวบ้านร้องเรียนมาได้ อย่างไรก็ตาม ก็ยังพบว่าปัจจุบันยังมีการเผยแพร่บัญชีรายชื่อแต่งตั้งเป็นพระสังฆาธิการกรุงเทพมหานครประจำปี 2567 ระดับเจ้าอาวาสที่ปรากฏชื่อพระครูโอภาสวัชรานุกูล เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสี ผ่าน Facebook สำนักงานเจ้าคณะกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงขอความอนุเคราะห์ให้คณะกรรมาธิการฯพิจารณาถึงเหตุผลการพิจารณาแต่งตั้งพระครูโอภาสวัชรานุกูลเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสีครั้งนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ กรณีเจ้าอาวาสต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ทรงเกียรติคุณ เป็นที่เคารพนับถือของบรรพชิตและคฤหัสถ์ในถิ่นนั้น รวมถึงทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินการพิจารณาหนังสือเรื่องการพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสีว่ามีขั้นตอนอย่างไร และมีการแจ้งผลให้ทราบด้วยวิธีใด และสำนักงานเจ้าคณะกรุงเทพฯ จะมีการยกเลิกและแก้ไขบัญชีรายชื่อที่มีการเผยแพร่อยู่ขณะนี้หรือไม่ซึ่งหากไม่ยกเลิกและแก้ไขบัญชีดังกล่าวจะมีผลให้พระครูโอภาสวัชรานุกูลยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสหลวงพ่อโอภาสีตามบัญชีวันที่ 13 ธันวาคม 2567 อยู่หรือไม่





     โดย คณะ กมธ.การศาสนาฯ หลังจากรับหนังสือ ก็ยินดีที่จะรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปพิจารณาและ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะไม่นิ่งนอนใจ หลังจากนี้ ตนจะมอบหมายให้คณะกรรมาธิการฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบและตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เพื่อทราบปัญหาและข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม พี่น้องประชาชนต้องช่วยกันทำนุบำรุงด้านศาสนาให้มีความโปร่งใส มีคุณธรรม จริยธรรมและพึงปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามต่อไป











     หลังจากนั้น เวลา 14:00 น. นายนิภัทร์ บุณบรรเทิง พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ได้เดินทางต่อมายัง สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เลขที่ 25/25 อาคารหลวงพ่อวัดปากน้ำ ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อยื่นหนังสือต่อนายธีรวุฒิ วรโคตร ( ผู้แทนรับมอบ ) ในเรื่องขอให้พิจารณาแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโอภาสีและขอให้ดำเนินการถอดถอนพระสังฆาธิการที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับสมณวิสัย พร้อมกับมีข้อกังขาให้ช่วยตรวจสอบถึงเรื่องการเงินของวัด, การแต่งตั้งคณะกรรมการวัด รวมถึงประเด็นในเรื่องที่มีสีกาคนหนึ่ง ถือกุญแจและเปิดตู้รับบริจาคของวัดได้ ซึ่งไม่มีใครรู้จักสีกาคนนี้มาก่อน รวมถึงเวลาออกบิณฑบาตร ก็ยังมีสีการ่วมออกบิณฑบาตรอีกด้วย ซึ่งข้อกังขาเหล่านี้ทำให้เหล่าศิษยานุศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ไม่สบายใจและเกรงว่าชื่อเสียงของวัดหลวงพ่อโอภาสี จะทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธาจากหลายกรณีดังกล่าว จึงได้รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถอดถอนและตรวจสอบพระครูโอภาสวัชรานุกูล ในครั้งนี้

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ข้อมูลส่วนตัวของคุณปลอดภัยแค่ไหนในยุคดิจิทัล

 ข้อมูลส่วนตัวของคุณปลอดภัยแค่ไหนในยุคดิจิทัล


สำนักวิจัยสยามเทคโนโพล วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ข้อมูลส่วนตัวของคุณปลอดภัยแค่ไหนในยุคดิจิทัล” พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า รู้สึกว่าข้อมูลส่วนตัวในโลกดิจิทัลมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ร้อยละ 37.47 รองลงมา รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ร้อยละ 32.69 รู้สึกไม่ปลอดภัยเลย 27.47 และรู้สึกว่าปลอดภัยมาก น้อยที่สุด ร้อยละ 2.37 โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยถูกละเมิดข้อมูลส่วนตัวในโลกดิจิทัล แต่ส่งผลกระทบเล็กน้อย ร้อยละ 52.71 รองลงมา เคยถูกละเมิดข้อมูลส่วนตัวในโลกดิจิทัล โดยส่วนใหญ่ทราบว่ามีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ไม่เข้าใจ ร้อยละ 78.32 รองลงมา ระบุว่า ทราบและเข้าใจรายละเอียด ร้อยละ 17.51 และระบุว่าไม่เคยทราบมาก่อน ร้อยละ 4.17 น้อยที่สุด กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวในยุคดิจิทัล คือ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ร้อยละ 75.63 รองลงมา การใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัยและซับซ้อน ร้อยละ 11.57 การระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลออนไลน์ ร้อยละ 8.41 และการรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ร้อยละ 4.39 น้อยที่สุด และเมื่อกล่าวถึงการพัฒนาเพื่อให้ข้อมูลส่วนตัวปลอดภัยมากขึ้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่า ควรพัฒนาการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ร้อยละ 54.51 รองลงมา ระบุว่า ควรสนับสนุนเครื่องมือป้องกันภัยออนไลน์สำหรับประชาชน ร้อยละ 22.37 และระบุว่า ควรพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยขององค์กร ร้อยละ 10.47 น้อยที่สุด



ดร.ธนเสฎฐ์ อัคคัญญ์ภูดิส

อาจารย์ประจำสำนักวิจัยสยามเทคโนโพล

โทรศัพท์ มือถือ 089-474-9514


สำนักวิจัยสยามเทคโนโพล วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม โทรสาร02-878-5002

E-mail:siamtechno_poll@siamtechno.ac.th

 นนทบุรี วงจรปิด ใจสลายสาวโรงงานวอนคนร้ายนำแมวพันธุ์เปอร์เซียรักเหมือนลูกมาคืน หลังถูกขโมยทิ้งเชือกไว้ดูต่างหน้า





     จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพกล้องวงจรปิด และรูปแมวตัวที่หายไป ในกลุ่ม “ประกาศหมาหลง แมวหาย ตามหาเจ้าของ” โดยระบุข้อความว่า “อยากขอความเมตตาค่ะ ใครที่พึ่งแมวไปช่วยเอามาคืนด้วยนะคะ ใจจะแตกละสลายแล้ว ไม่เอาโทษอะไรทั้งสิ้น ให้เอามาคืนที่เดิมหรือคืนในช่องประตูบ้านก็ได้ค่ะ เบอร์ 0804537959 ซ.โชคมงคล ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หรือ ใครเห็นหรือรู้จักฝากบอกเขาหน่อยนะคะ พอดีผูกไว้ให้น้องเล่นหน้าบ้านค่ะ เขามาเอาไป 21.26 น. วันที่ 18/12 ค่ะ”




     เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 67 ทีมข่าวลงพื้นที่บริเวณบ้านพักพนักงานของโรงงานแห่งหนึ่ง ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามกรณีดังกล่าวกับ น.ส.สุจิตรา จันทร์ขาว หรือพี่เจี๊ยบ อายุ 49 ปี อาชีพรับจ้างโรงงาน เจ้าของแมว ชื่อ “น้องปูนิ่ม” สายพันธุ์เปอร์เซีย อายุเกือบ 2 ปี ที่ถูกคนร้ายเดินมาอุ้มแมวที่หน้าบ้านพัก เหลือเพียงเชือกไว้ดูต่างหน้า






     น.ส.สุจิตรา หรือพี่เจี๊ยบ กล่าวว่า ตนซื้อแมวมา 2 ปีแล้ว เป็นแมวสายพันธุ์เปอร์เซีย ซื้อจากคนที่รู้จักกัน ราคา 1,000 บาท ปกติเลี้ยงอยู่ในห้องพักและปล่อยเดินเล่นตอนกลางวันโดยไม่ต้องผูกเชือก แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนมันจะชอบออกไปเล่นหน้าบ้าน ปกติตนจะคอยเฝ้าดู แต่จังหวะเมื่อคืนเดินเข้ามาทำธุระที่ห้องประมาณ 5-10 นาที ตนเอาเชือกผูกน้องไว้ พอกลับเข้ามาเห็นมีรอยแกะเชือก แล้วเอาน้องปูนิ่ม แมวของตนหายไป ตนเลยไปขอเถ้าแก่ดูกล้องวงจรปิด ช่วงเวลา 21.30 น. เห็นคนร้ายเป็นผู้ชายวัยรุ่น อายุประมาณ 25-30 ปี สวมเสื้อแขนยาวสีดำ ใส่กางเกงขายาว เดินมาจากในซอย เข้าไปปลดเชือกที่คอแมวแล้วอุ้มเดินหลบหนีไป ตนไม่เคยเห็นหน้าคนร้ายมาก่อน ไม่แน่ใจว่าใช่คนแถวนี้หรือไม่  อยากขอความเมตตาว่าถ้าใครเจอหรือพบเห็นน้องปูนิ่ม กรุณาช่วยแจ้งเบาะแสมาที่เพจข่าวนนทบุรีด้วย ฝากถึงคนร้ายถ้าเอาแมวมาคืนตนจะไม่เอาเรื่อง ตนรักแมวเหมือนลูก ตั้งแต่แมวหายตัวไปตนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดถึงแมวมากๆ แมวของตนกินยาก ถ่ายก็ยาก ตอนนี้ยังไม่ได้ไปแจ้งความเพราะหวังให้คนร้ายเอาแมวมาคืน