วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

 นนทบุรี วงจรปิดชัด อดีตรองนายกฯ อบต. ร้องสื่อ ถูกตร.สายสืบพาพวกขู่-ทำร้ายร่างกายงานลอยกระทงปี 65 ชักปืนข่มขู่ คดีเงียบหลังเปลี่ยนพนักงานสอบสวน




กรณีผู้ใช้ Facebook ชื่อ ซาตาน บางใหญ่ ได้ออกมาโพสต์ระบายความคับข้องใจในสื่อออนไลน์ โดยระบุว่าเมื่อสองปีก่อน เขาถูกกลุ่มตำรวจชุดสืบสวนในพื้นที่พาพวกเข้ามาดักทำร้ายในงานลอยกระทง จนเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่เมื่อไปแจ้งความกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังพยายามร้องเรียนและขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวน ในที่สุดได้รับพนักงานสอบสวนที่ทำงานตรงไปตรงมา แต่เมื่อเริ่มสอบสวน คดีถูกดึงให้ช้าลง จนกระทั่งพนักงานสอบสวนถูกย้ายไปที่อื่น ทำให้เรื่องราวคืบหน้าไปได้ยาก





ผู้โพสต์  ยังระบุว่า ตำรวจกลุ่มนี้มีปัญหากับชาวบ้านบ่อยครั้ง แต่กลับได้รับการปกป้องโดยหน่วยงานต้นสังกัด ทั้งๆ ที่มีหลักฐานแน่นหนา เช่น ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดในวัด และพยานผู้เห็นเหตุการณ์ แต่กลับได้รับคำตอบว่าหลักฐานยังไม่ชัดเจน ผู้โพสต์ยังแสดงความไม่พอใจว่าหากเป็นตนกระทำผิด คงถูกจับภายในวันเดียว พร้อมทั้งเรียกร้องให้สังคมช่วยกันแชร์เรื่องราวนี้เพื่อเป็นการขอความเป็นธรรม




ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (14พ.ย.67) เวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางเข้าพบนายฤทธิรงค์ มีสกุล หรือนายตาล อายุ 44 ปี อดีตรองนายกอบต.บางใหญ่ ซึ่งเป็นผู้โพสต์เฟซบุ๊ก ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ววันที่ 8 พ.ย.65 ขณะนั้นตนเป็นรองนายกอบต.บางใหญ่ วันเกิดเหตุตนได้เดินทางออกตรวจอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านงานลอยกระทงประจำปี 2565 ที่วัดเทพ นิมิตร จากนั้นเวลา เวลาประมาณ 23.00 น. ตนได้เดินทางออกจากวัด แล้วขี่จยย.มุ่งหน้าไปวัดต้นเชือก ซึ่งก็ได้จัดงานประจำปีประเพณีลอยกระทงเช่นเดียวกัน หลังจากจากน้องๆที่รู้จักได้โทรหาตนก็ไปดูแลงานปกติ พอถึงวัดตนกับกลุ่มน้องๆก็ได้พูดคุยกันบริเวณหน้าเวทีตามปกติ จากนั้นผ่านไปประมาณ 10 นาที ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบประมาณ 3 นาย พร้อมกับนายแทน อายุปีะมาณ 40 ปี ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนของตนคบกันมานานกว่า 30 ปี และนายตี๋เป็นเพื่อนนายแทน ได้เดินทางมาด้วยและตำรวจใหม่อีก 1 นาย โดยเดินปรี่เข้ามาหาตนและกลุ่มเพื่อนจากนั้นก็ได้มีการพูดคุยนายแทนก็พูดคุยทักทายตนปกติ จากนั้นตนปวดปัสสาวะจึงขับรถจยย.จากหน้าเวทีไปเข้าห้องน้ำวัด ตามกล้องวงจรปิด ที่ตนสวมเสื้อสีฟ้า ต่อมาภาพจากกล้องวงจรปิดที่วัดบริเวณหน้าห้องน้ำ ก็บันทึกภาพว่าตนไปเข้าห้องน้ำตามปกติ แต่ปรากฏว่าหลังจากทำธุระเสร็จ ทางกลุ่มของตำรวจชุดสืบได้เดินตามตนมาหลังเข้าห้องน้ำ โดยมีตำรวจหัวหน้าชุดสืบสวนชื่อ ด.ต.เกียรติศักดิ์ หรือดาบปราบ สวมเสื้อสีดำ และนายแทนทั้งสองคนได้เข้ามาถามตนประมาณว่าว่า ”แทนมาอยู่กับตำรวจมีปัญหาอะไรเหรอ“ จากนั้นแทนตนจึงตอบไปว่า “ไม่ได้มีปัญหาอะไร มึงแจ๋วเหรอ ” จากนั้นตำรวจก็พูดว่าจะมาเข้าห้องน้ำ ซึ่งตนดูแล้วเจตนาจะมาหาเรื่องจากนั้นก็ได้เริ่มมีการพูดคุยแล้วมีปากเสียงกันนิดหน่อย ซึ่งลักษณะนายแทนจะมาหาเรื่อง โดยมีตำรวจพามาซึ่งตนก็บอกกับนายแทนว่า ถ้าจะมีเรื่องกันจริงๆที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ที่นี่ จากนั้นตนท่าไม่ดีซึ่งอยู่คนเดียว เกรงจะเกิดอันตรายจึงตะโกนขอความช่วยเหลือดังลั่น จนเป็นเป้าสายตาของประชาชน จากนั้นรุ่นน้องของตนก็ได้เดินกันเข้ามา ตนพยายามเดินหลีกกลุ่มตำรวจกลุ่มนี้แต่ปรากฏว่านายแทนได้เดินมาผลักตนแล้วต่อยหน้าตนเข้าที่ปาก จากนั้นก็มีการฉุดกระชากชุลมุนตามคลิปจนทำให้สร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาท ของตนขาด รวมถึงพระหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง เลี่ยมทองรุ่นยันต์ใหญ่ ตกหล่นอยู่ที่เกิดเหตุ และยังมีท้าวเวสสุวรรณอีก 1 องค์ ที่กรอบทองหลุด ซึ่งหลังเกิดเหตุนั้นตนหาหลวงปู่เอี่ยมไม่เจอ ปรากฏว่าหลังจากดูคลิปที่ชาวบ้านถ่ายพบว่านายแทนเป็นคนเก็บพระหลวงปู่เอี่ยมไว้ที่มือ และไม่ยอมรัยว่าเป็นคนเก็บไป จนกระทั่งชาวบ้านบอกว่าค่อยดูกล้แงวงจรปิด นายแทนจึงยอมคืนพระมาให้กับน้องชายตน จากนั้นก็ได้แยกย้ายกันไป จากนั้นดาบปราบก็ได้มีการชักปืนลักษณะข่มขู่อีก ซึ่งตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ตนได้ดำเนินคดีทั้งหมด 3 นาย และนายแทน ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ ส่วนรายอื่นมีส่วนเกี่ยวข้องบางคนเข้ามาห้ามปราม และตำรวจใหม่ที่เดินทางมาด้วยก็ไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องตนยืนยันว่า ตนกับนายแทนตนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหน้านี้ ซึ่งตนก็ได้พูดคุยกันตามปกติ





หลังจากนั้นเหตุการณ์คืนนั้น เวลาประมาณ 00.00 น. ของวันเกิดเหตุตนได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภ.บางแม่นาง คืนนั้นเลยโดยตำรวจก็ได้ส่งตัวตรวจร่างกาย ก่อนจะมีการนัดมาให้ปากคำอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่ตนได้ให้ปากคำ พาพยานมาให้ปากคำกับตำรวจ ปรากฏว่าฝั่งคู่กรณีรู้เรื่องทุกอย่างว่าตนให้การว่ายังไงบ้าง  จึงได้ขอความอนุเคราะห์ทางพ.ต.อ.รณภัฎ ทับทิมธงไชย ผกก.สภ.บางแม่นาง ซึ่งขณะนั้นยังเป็นผู้กำกับอยู่โรงพักซึ่งท่านก็ได้เปลี่ยนพนักงานสอบสวนให้ทันที ซึ่งตนขอบคุณผู้กำกับมากๆ โดยพนักงานสอบสวนที่เปลี่ยนมาก็เป็นกลางทำคดีตนดีมากๆ แต่ปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ทางผู้กำกับ และพนักงานสอบสวน ได้ถูกย้ายเปลี่ยนโรงพัก โดยพนักงานสอบสวนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับ(สอบสวน)สภ.ปลายบาง ทำให้คดีตนล่าช้าไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด โดยตนไม่ได้รับแม้กระทั่งใบแจ้งความ ทั้งนี้ยังได้รับแจ้งว่า เอกสารข้อมูลคำให้การหายทั้งหมด จึงประสานไปยังสารวัตรที่ทำคดีที่ย้ายโรงพักเขาแจ้งว่าได้ส่งมแบให้พนักงานสอบสวนคนปัจจุบันไปหมดแล้ว หลักฐานทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่เคยเจอพนักงานสอบสวนคนที่ดูคดี ถึงแม้จะเคยไปติดตามความคืบหน้าแล้วก็ตาม


การที่ตนมาร้องเรียนในวันนี้เพราะว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านคดี แม้จะไปติดตามคดีหลายครั้งมีการทำหนังสือติดตามความคืบหน้าคดีไปที่นกยกอบต.บางใหญ่ ซึ่งก็ได้มีการยื่นให้กับทางด้านพ.ต.อ.ธรรศกร ก้อนทอง ผกก.สภ.บางแม่นาง ซึ่งเป็นผู้กำกับคนปัจจุบันไปแล้ว แต่เรื่องก็เงียบ ทั้งนี้ชาวบ้านหลายคนรวมถึงสื่อได้เคยนำเสนอข่าวเกี่ยวกับชุดสืบสวนสภ.บางแม่นาง กลุ่มนี้หลายครั้งชอบมีพฤติกรรมข่มขู่ กร่างกับชาวบ้านอยู่ตลอด ตนมองว่าหากคดีนี้กลับกันหากฝ่ายตนเป็นผู้กระทำความผิด คาดว่าใช้เวลาไม่ถึง 1 วัน คดีคงคืบหน้าไกล


ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8 พ.ย.67 ที่ผ่านมานี้ ทางตำรวจได้โทรแจ้งตนให้ไปรับเอกสารด้านคดี ปรากฏว่าหลังจากที่ตนไปสภ.บางแม่นาง ตำรวจได้นำเอกสาร จากสำนักอัยการจังหวัดนนทบุรีได้แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องยุติการดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามที่ตนแจ้งไป ตนจึงมองว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ประกอบกับยังไม่เห็นสำนวนคดีของพนักงานสอบสวนว่าคำให้การนั้นได้ส่งไปที่อัยการหรือไม่ อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนได้ให้ทนายดำเนินการด้านกฏหมายต่อโดยให้ไปคัดสำนวนคดีที่อัยการ แล้วจะเดินหน้าสู้ต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ตนยังไม่เคยเห็นผู้ถูกกล่าวหาเข้าให้การกับตำรวจ หรือจับกุมนายแทนซึ่งเป็นคนต่อยคน











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น