อส.เมืองช้างลุยจับยา สาวอ้างถูกลวนลาม โอล่ะพ่อ!
จากกรณีที่มีข่าวเรื่อง อส. สุรินทร์จับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดและเสพยา กระทำอนาจารภรรยาของผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ทางผู้ต้องหาและผู้เสียหายได้ร้องเรียนมายังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุรินทร์ว่า ถูกทางเจ้าหน้าที่ อส. และชุดจับกุมได้กระทำการอนาจารภรรยาของผู้ต้องหาและรีดไถเอาเงินจำนวน 10,000 บาทของผู้ต้องหาไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทางสมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนเพื่อสังคมประเทศไทยกับหนังสือพิมพ์ประชาเสรีสุรินทร์ได้รับการร้องเรียนมา จึงได้ลงพื้นที่ไปเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบถามข้อมูลเรื่องราวจาก เจ้าหน้าที่ อส. และชุดจับกุมฝ่ายปกครอง สังกัด กองร้อยอาสารักษาดินแดนสุรินทร์ที่ 1 ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการที่นำกองกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหาคดีจำหน่าย ครอบครองและเสพยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 20 เม็ด ตามที่เป็นข่าวปรากฏในสื่อโซเชียลและสื่อหลักดังกล่าว พร้อมกับการเข้าชี้แจงรายงานความเป็นจริงต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์
จากการสอบถาม อส.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมของจังหวัดสุรินทร์ หลังมีสายสืบรายงานแจ้งว่ามีการลักลอบค้ายาเสพติด จึงจัดชุดจับกุมจังหวัดสุรินทร์ลงพื้นที่ปราบปรามจับกุมจนกระทั่งได้ผู้ต้องหาพร้อมหลักฐานยาเสพติด (ยาบ้า) จำนวน 20 เม็ด และทำการยึดรถยนต์ก่อเหตุไว้เพื่อทำการตรวจสอบขยายผลนำไปสู่เครือข่ายในกระบวนการค้ายาเสพติดอีกหลายราย ต่อมาทราบชื่อผู้ต้องหา คือ นายทองคำ (ไม่ทราบนามสกุล) หรือชื่อเล่นว่า มดแดง อายุ 45 ปี ชาวตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมภรรยา โดยจำนนด้วยหลักฐานเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท1(ยาบ้า) จำนวน 20 เม็ด จึงทำการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย ในระหว่างทำการสอบสวน ผู้ต้องหาได้แจ้งบอกเจ้าหน้าที่ ว่ามีเงินในบัญชีธนาคารจำนวนหนึ่ง อยากไปเบิกกดบัตรเอทีเอ็ม ที่ตู้ธนาคารเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัว ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้ไปเองได้หรือให้เจ้าหน้าที่ไปกดเงินเองได้ จึงทำได้แค่บริการส่งผู้ต้องหาไปกดเงินเองที่ตู้บัตรเอทีเอ็ม หลังจากนั้นผู้ต้องหาก็ได้โอนเงินไปให้ลูกสาว จำนวน 3,500 บาท โดยมีสลิปโอนเงินให้ลูกสาวเป็นหลักฐาน ที่เหลือผู้ต้องหาก็ซื้อของใช้เอง ดังนั้น เงินของผู้ต้องหาคนดังกล่าวที่มีในบัญชีธนาคารราว 10,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่อส.ไม่ได้แตะต้องแม้แต่บาทเดียว ทำได้แค่ด้วยคุณธรรมบริการขับรถส่งผู้ต้องหา ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม และซื้อของกินของใช้เอง เสร็จภารกิจก็นำตัวกลับเพื่อทำการสอบสวนต่อเพื่อขยายผลเครือข่ายยาเสพติดในเบื้องต้น แล้วนำตัวส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามหน้าที่ต่อไป ต่อมาทราบข่าวว่าฝ่ายภรรยาผู้ต้องหาได้แจ้งความดำเนินคดีกับอส.ชุดจับกุม กล่าวหาว่าถูกอนาจารตามที่เป็นข่าว แต่ทางตำรวจไม่รับแจ้งความเพราะมีเหตุผลและน่าสงสัยหลายอย่าง ทำให้ภรรยาผู้ต้องหาต้องไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมตามที่เป็นข่าว จากการสอบถามเจ้าหน้าที่อส.ชุดจับกุม ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเรื่องอนาจารภรรยาผู้ต้องหาในค่ายอส.นั้นไม่เป็นความจริงทุกประการเพราะเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทุกคนมี
ประสบการณ์ทำงานเคสแบบนี้มานับมากกว่าร้อยคดีไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนปฏิหน้าที่เต็มความสามารถเพื่อปราบปรามยาเสพติดตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้ทำ ส่วนเรื่องของรถยนต์ก่อเหตุก็ไม่สามารถให้ทำเรื่องขอคืนได้เพราะหลังทำการตรวจสอบรถยนต์ก่อเหตุ ทราบว่าไม่ชอบมาพากลมีจุดน่าสงสัยอีกมากมายเกี่ยวกับที่มาที่ไปของรถยนต์คันนี้ ซึ่งเป็นรถยนต์เก๋งสีขาว ยี่ห้อ MITSUBISHI มิราจ หมายเลขทะเบียน กษ 3021 อุดรธานี สอบถามนายทองคำ ผู้ต้องหาบอกว่าซื้อต่อจากนาย ประวิทย์ คนอุดรธานี แต่ยังไม่ได้โอน ตรวจสอบอีกทีชื่อเจ้าของรถคันนี้เป็นชื่อนายอรุณวัฒน์ ชาวจังหวัดอุบลราชธานี อีกทั้งหมายเลขเครื่องรถกับเลขตัวถังรถ ไม่ตรงกัน ทางเจ้าหน้าที่จึงอายัดไว้เพื่อทำการสืบสวนรายละเอียดต่อไป ส่วนข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้นซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อองค์กรฯหรือหน่วยงานฯ สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนให้เกิดความเกลียดชังให้กับหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ทางหน่วยงานต้นสังกัดคงจะต้องทำการพิจารณาดำเนินคดีตามกฏหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
/ทีมข่าว : สมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนเพื่อสังคมประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ประชาเสรีสุรินทร์ รายงาน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น