ปอศ.บุกจับนักธุรกิจสร้างโปรไฟล์หรูตุ๋นบริษัทยักษ์ใหญ่คาคอนโดหรูย่านบางนา
วันนี้ (29 ธ.ค.64) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร ผกก.3 บก.ปอศ., พ.ต.ท.วีร์กวิน เสริมศรีธนชัย รอง ผกก.3 บก.ปอศ., พ.ต.ท.ชยานนท์ ทองแถม รอง ผกก.3 บก.ปอศ. และชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ต.วรพจน์ ลลิตจิรกุล สว.กก.3 บก.ปอศ. จับกุม นายอนุรักษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ตามหมายจับของ ศาลอาญา ที่ 2054/2564 ลง 2 ธ.ค. 2564 ในคดีความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำลง ข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัทหรือที่เกี่ยวกับบริษัท เพื่อลวงให้บริษัท ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทขาดประโยชน์” จับกุมได้ในพื้นที่ แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ. ได้จับกุมนายอนุรักษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ตามหมายจับของ ศาลอาญา ที่ 2054/2564 ลง 2 ธ.ค. 2564 ผู้ต้องหา ในคดีความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทจำกัด กระทำหรือยินยอมให้กระทำลงข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท หรือที่เกี่ยวกับบริษัท เพื่อลวงให้บริษัท ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท ขาดประโยชน์” โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหานั้นมีการสร้างประวัติให้ดูน่าเชื่อถือ อ้างตัวกับผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัดสุรินทร์ ว่าตนเองมีดีกรีเรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในไทยมากกว่า 1 แห่ง ซึ่งไม่ได้จบจริง และยังกล่าวอ้างว่าเป็นนักบินพาณิชย์ตามสื่อสังคมออนไลน์และรู้จักกับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หากผู้เสียหายให้ตนเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในบริษัทฯ จะทำให้บริษัทฯ สามารถประมูลโครงการก่อสร้างทั้งของรัฐและเอกชนได้โดยง่าย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา จึงได้ให้ผู้ต้องหาเข้ามาเป็นหุ้นส่วนของบริษัทฯ ซึ่งต่อมา 4 เดือน หลังจากเข้ามาเป็นหุ้นส่วน ผู้ต้องหาได้ปลอมมติที่ประชุมแล้วไปดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น และสัดส่วนการถือหุ้น โดยเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของผู้เสียหาย จากการถือหุ้นเดิม 20 เปอร์เซ็นต์ ปลอมเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ โดยมิได้มีการประชุมจริงและเอารายชื่อผู้เสียหายออกจากกรรมการของบริษัท โดยที่ผู้เสียหายไม่ทราบและไม่ได้ยินยอมตามรายงานการประชุมแต่อย่างใด แล้วนำไปยื่นต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ทำให้ผู้เสียหาย เสียหายไปกว่า 100 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงได้เดินทางเข้ามาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอศ. จึงนำไปสู่การจับกุมดังกล่าว
หลังจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องหายังมีคดีเรื่อง ปลอมและใช้เอกสารปลอม อยู่ที่ สน.บึงกุ่ม และ สภ.สำโรงทาบ จว.สุรินทร์ และยังเคยมีประวัติ ยักยอกทรัพย์อีกด้วย
เตือนภัย
เจ้าหน้าที่ตำรวจขอเตือนภัยใกล้ตัวให้กับพี่น้องประชาชนหรือบริษัทห้างร้านเอกชน ว่าการร่วมลงทุนกับบุคคลหรือบริษัทใด ๆ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานรัฐหรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้แน่ชัดเสียก่อน เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และสูญเสียเงินหรือทรัพย์สินโดยไม่ทันรู้ตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น