วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

บริษัทกูร์เมท์วัน ฟู้ดส์เซอร์วิ่ส (ประเทศไทย)จำกัด แถลงข่าวชี้แจงเรื่องการตรวจสอบบัญชีของบริษัท พร้อมแจ้งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ใน สภ.บางใหญ่



วันนี้​ 11/11/62​ เวลา13.00น. โรงแรมดับเบิ้ลยูแถวสาธรได้เปิดการแถลงข่าวโดยมีนางสาวพัชรินทร์เหมอังกูร​ กรรมการผู้จัดการ
และผู้ถือหุันใหญ่​ โดยบริษัท กูร์เมท์วัน ฟู้ดส์เซอร์วิส(ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทนำเข้าและเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายอาหารระดับพรีเมี่ยม ให้กับโรงแรมชั้นนำ ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตั้งแต่ปี 2007 โดยมีนางสาวพัชรินทร์ เหมอังกูร กรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นใหญ่ เนื่องจากเมื่อกลางปีที่ผ่านมาคู่ค้า , ลูกค้า,รวมทั้งซัพพลายเออร์อาจ ได้ยินเรื่องราวและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในบริษัท ดังนั้นวันนี้จึงได้ขอชี้แจงเพื่อให้ทุกคนทราบ ในเรื่องของคดียักยอกทรัพย์ตามที่ อดีตกรรมการ ได้เข้าแจ้งความ กับ สภ.บางใหญ่ นั้นตั้งแต่เกิดเหตุทางบริษัทได้มีการเรียกประชุมวิสามัญโดยมีนางโบตั๋น เหมอังกูร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจเป็นประธานในที่ประชุม และมีมติให้มีการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีและนักบัญชี หลังจากการตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริตและบริษัทไม่ได้รับความเสียหายตามที่อดีตกรรมการกล่าวอ้าง จึงมีมติให้ถอนแจ้งความโดย นางโบตั๋น เหมอังกูร ได้มอบอำนาจให้พนักงานผู้รับมอบอำนาจดำเนินการถอนแจ้งความตามมติที่ประชุมและทางบริษัทได้ดำเนินการถอนแจ้งความแล้วเสร็จในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา





ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดความวุ่นวาย อดีตกรรมการต้องการจะขายหุ้นของตนเองโดยอดีตกรรมการได้จ้างบริษัทผู้สอบบัญชีที่มีชื่อเสียงและมีสาขาในหลายประเทศ เข้ามาทำการประเมิน โดยทางนางสาวพัชรินทร์ และพนักงานในบริษัท ได้ให้ข้อมูลและส่งเอกสาร สมุดรายวันรับ – จ่าย สมุดรายวันทั่วไป และสมุดแยกประเภทและเอกสารต่างๆตามทีมีการร้องขอ ซึ่งเมื่อประเมินเสร็จ  บริษัทที่ทำการประเมินได้ประเมิน มูลค่าบริษัทมากกว่า 900ล้านบาท (สัดส่วน 100%) ซึ่งตั้งขอสังเกตุได้ว่าหากพบการทุจริต บริษัทตรวจบัญชีข้ามชาติจะตีมูลค่าบริษัทสูงได้อย่างไร??  จากนั้น อดีตกรรมการได้ทำการเสนอขายหุ้นบริษัทให้ กับบุคคลอื่นรวมทั้งนางสาวพัชรินทร์ จากนั้นอดีตกรรมการและนางสาวพัชรินทร์จึงมีการตกลงซื้อ - ขายหุ้นดังกล่าว 42.5 % ในราคา  430 ล้านบาท นางสาวพัชรินทร์ได้โอนเงินมัดจำจำนวน 10 ล้านในวันที่ 26 มีนาคม 2562 โดยไม่ได้ทำสัญญาแต่อย่างใด เมื่อนางสาวพัชรินทร์ ส่งสัญญาให้เซ็น ก็ได้รับการปฎิเสธ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2562 ได้รับจดหมายจากสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของอดีตกรรมการ ส่งจดหมายแจ้งว่า อดีตกรรมการไม่ประสงค์ขายหุ้นในราคา 430 ล้านตามที่ตกลงกันไว้แต่ประสงค์ที่จะขายในราคา 700 ล้านบาท (ตามเอกสารแนบ 1)  และไม่มีการคืนเงินมัดจำแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตกรรมการ นอกจากคดีดังกล่าวยังมีคดีที่ นางสาวพัชรินทร์ และ ผู้ถูกกล่าวหาอีก 3 ท่านได้ดำเนินการฟ้องศาลทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน สภ. บางใหญ่ เนื่องจากเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่ามีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยมิชอบ ตามเอกสารดังนี้




รายละเอียดวันที่ออกหมายวันนัดหมายวันที่ส่งหมายวันที่รับหมายหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 1
(เอกสารแนบ 2)25 กรกฎาคม 2562​  31 กรกฎาคม 2562​ 26 กรกฎาคม 2562​  27 กรกฎาคม 2562​ออกหมายจับ14 สิงหาคม 2562
หมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 2(เอกสารแนบ 3)25 กรกฎาคม 2562​ 13 สิงหาคม 2562​ 17 สิงหาคม 2562​  19 สิงหาคม 2562
จากเอกสารดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการออกหมายจับตั้งแต่หมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ยังไม่ได้ส่งออกจาก สภ.บางใหญ่ และหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 1 และ 2 ลงวันที่เดียวกัน ซึ่งในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวได้มี พันตำรวจโท.... ได้ประสารเจรจายื่นข้อเสนอแลกกับการถอนคดีความทั้งหมดครั้งที่ 1 ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ต้องเซ็นเช็คร่วมสองคนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
2. ต้องโอนหุ้นคืนให้ครบร้อยละ 50%ทันที
3. ต้องตัด จ่ายเงินปันผล 42.5% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 จนถึงกรกฎาคม 2562 ก่อนจึงจะลงลายมือชื่อและจากนี้ไปต้องจ่ายเงินปันผลปีละสองครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์และ 1 สิงหาคมของแต่ละปี
4. ต้องส่งสำเนาเอกสารทางบัญชีให้ตรวจสอบทั้งหมดโดยไม่ปิดบังทุกไตรมาส
5. การประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น ทุกครั้งต้องเรียกประชุมตามกฏหมาย
6. โอนหุ้นบริษัท เรซิเดนซ์วัน จำกัด ที่เป็นเจ้าของที่ซอย 7 ทั้งหมดให้อดีตกรรมการและชำระหนี้ให้หมด
7. ปลดประกันทั้งหมดที่อดีตกรรมค้ำประกันบริษัทกูร์ เมท์วัน จำกัดออกทั้งหมด
8.ชำระหนี้สินทั้งหมดที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาแทนอดีตกรรมการ
สุดท้ายให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าจะเดินหน้าหาความยุติธรรมต่อไปก็ฝากถึงผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องด้วยว่าในประเทศไทยนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น